สรุปสถานการณ์น้ำวันนี้ เตือน 6 จังหวัด เตรียมรับมือพายุดีเปรสชัน คัลแมกี บ่ายนี้
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (ศอน.) รายงานสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ โดยระบุว่าอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น คัลแมกี บริเวณเมืองกอนตูม ประเทศเวียดนาม ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง และมีแนวโน้มจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน เคลื่อนผ่านประเทศลาว เข้าปกคลุมพื้นที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงบ่ายวันนี้ ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ
ลักษณะอากาศเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
สำหรับช่วงวันที่ 8-9 พฤศจิกายน 2568 คาดว่าประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยจะมีฝนตกหนักบางแห่ง และฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากอิทธิพลของพายุ คัลแมกี ขณะที่ภาคใต้จะได้รับผลกระทบจากลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น
ปริมาณน้ำรวมในอ่างเก็บน้ำทั้งประเทศอยู่ที่ 88% ของความจุเก็บกัก (71,298 ล้านลูกบาศก์เมตร) โดยเป็นน้ำใช้การได้ 81% (47,176 ล้านลูกบาศก์เมตร)
แหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำต่ำกว่าระดับควบคุมต่ำสุด จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองสียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา
แหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% ของความจุ มีจำนวน 19 แห่ง แบ่งเป็น
-ภาคเหนือ 3 แห่ง
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง
-ภาคตะวันออก 6 แห่ง
-ภาคตะวันตก 5 แห่ง
-ภาคใต้ 2 แห่ง
คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก
-น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
-น้ำเพื่อการเกษตร ในแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและวางแผนบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับมือพายุ คัลแมกี
ศอน. ระบุว่าอิทธิพลของพายุจะส่งผลให้ในช่วงวันที่ 7-9 พฤศจิกายนนี้ ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ เริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ
ทั้งนี้ สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ฝน ปริมาณน้ำท่า และน้ำในเขื่อนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำเกือบเต็มความจุ จำเป็นต้องวางแผนพร่องน้ำอย่างรอบคอบเพื่อรองรับฝนที่จะตกเพิ่ม
ที่ประชุมมีมติให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ในอัตรา 30-60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยคำนวณให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มไม่เกิน 20 เซนติเมตร น้ำจากการระบายจะไหลผ่านจังหวัดตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ก่อนถึงเขื่อนเจ้าพระยา ใช้เวลาประมาณ 8-9 วัน ซึ่งไม่ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูง
ศอน. ย้ำให้ กฟผ. ปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเขื่อนและผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำเป็นหลัก พร้อมให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำได้อย่างทันท่วงที






