อนุทิน นัดถกพรุ่งนี้ ปมบอร์ดบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติ
วันที่ 5 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เตรียมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) เป็นครั้งแรก ในวันพรุ่งนี้ (6 ตุลาคม) เวลา 14.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
การประชุมครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2568 ลงวันที่ 30 กันยายน 2568 ซึ่งแต่งตั้ง คอภ. เพื่อทำหน้าที่กำกับ ติดตาม และบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
การจัดตั้ง คอภ. และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) มีจุดเริ่มต้นจากการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบสถานการณ์น้ำท่วม และรับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี โดยการช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมและไม่ทันต่อสถานการณ์ จึงมีนโยบายจัดตั้งกลไกกลางเพื่อให้การเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ
สำหรับ คอภ. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะทำหน้าที่บริหารจัดการภัยพิบัติในภาพรวมของประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การติดตามเฝ้าระวัง การป้องกันภัย การช่วยเหลือในระหว่างเกิดเหตุ และการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์สิ้นสุด รวมทั้งมีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการการทำงานร่วมกัน อีกทั้งสามารถแต่งตั้งคณะทำงานหรือผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น
ขณะที่ ศชภ. ซึ่งมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการกลาง ประสานงานกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ เอกชน และองค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อดูแลผู้ประสบภัยให้ครบถ้วนในทุกมิติ ตั้งแต่การอพยพประชาชน ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน การจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค ไปจนถึงการวางระบบที่พักอาศัยชั่วคราวที่เพียงพอและทั่วถึง
นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ ศชภ. จัดทำมาตรการช่วยเหลือแบบถาวรสำหรับประชาชนที่เสียสละพื้นที่ทำกินหรือที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก โดยให้กำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาที่ชัดเจน และมีความต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาการร้องขอเป็นรายกรณีในแต่ละปี และยกระดับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน
นายอนุทินย้ำว่า การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และทั่วถึง โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจและขึ้นทะเบียนผู้ประสบภัยให้ครบถ้วน เพื่อให้การจ่ายเงินเยียวยาและค่าครองชีพเข้าถึงทุกคนอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ ยังให้ทุกหน่วยงานของรัฐส่งมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เข้ามายัง ศชภ. เพื่อทำการกลั่นกรอง รวมรวม และนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายแก่หน่วยงานราชการทุกระดับว่า การช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤติภัยพิบัติเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของรัฐบาล พร้อมกำชับให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานข้อมูลสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการเยียวยามีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ทันต่อเหตุการณ์






