สิริพงศ์ ชี้ ความคืบหน้าคนละครึ่ง ดูแลบัตรสวัสดิการ มอบสิทธิผู้เสียภาษี
วันที่ 19 กันยายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมประชุมร่วมกับสภาหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมว่าที่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 18 กันยายน ว่า ได้มีการหารือแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศภายหลังรัฐบาลชุดใหม่เริ่มเดินหน้าทำงานอย่างเป็นทางการ
นายสิริพงศ์ระบุว่า ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลควบคุมค่าเงินบาทไม่ให้แข็งหรืออ่อนจนเกินไป เพราะส่งผลกระทบต่อการส่งออก-นำเข้า รวมถึงต้นทุนการลงทุน โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร พร้อมแนะให้มีมาตรการด้านภาษีที่เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ทั้งในด้านแรงจูงใจและความชัดเจนของนโยบาย
ส่วนของประชาชน นายสิริพงศ์ยืนยันว่า โครงการ คนละครึ่ง จะกลับมาแน่นอน โดยแม้ยังไม่ประกาศรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่ได้มีการหารือแนวทางการดำเนินการแล้ว ซึ่งมีแนวคิดให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับสิทธิ เติมเงิน เช่น หากได้รับเงิน 300 บาท จะมีการเติมเพิ่มอีก 700 บาท รวมเป็น 1,000 บาท เพื่อไม่ให้ต่ำกว่าประชาชนทั่วไป
ขณะเดียวกัน ยังมีแนวทางให้สิทธิประโยชน์พิเศษกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น อาจได้รับ 1,200 บาทต่อคน แทน 1,000 บาท ทั้งนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาด้านเทคนิค แต่ยืนยันว่าโครงการจะเดินหน้าแน่นอน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหารือคือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งนายสิริพงศ์ระบุว่า รัฐบาลมีแนวโน้มจะ เลื่อนการจัดเก็บเต็มอัตราออกไป เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของที่ดินที่ได้ทรัพย์สินมาจากการเก็บหอมรอมริบ ไม่ควรถูกลงโทษด้วยภาษีในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่
ด้านพลังงาน รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการ โซลาร์ชุมชน ภายใน 4 เดือน ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวมกว่า 1,500 เมกะวัตต์ในระยะเริ่มต้น เพื่อลดภาระพลังงานจากฟอสซิล และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 อย่างจริงจัง
ในระยะสั้น นายสิริพงศ์เผยว่า รัฐบาลมีแผนตรึงราคาพลังงานเพื่อบรรเทาภาระประชาชน และหากสามารถบริหารจัดการได้สำเร็จ จะเดินหน้า ลดราคาพลังงานในปี 2569 โดยขณะนี้ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังหารือแนวทางการปฏิบัติอย่างเข้มข้น
สุดท้าย นายสิริพงศ์เปิดเผยแนวคิดของนายกรัฐมนตรี ที่เตรียม แต่งตั้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดด้านเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงรุกในระดับพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดแนวทางที่เคยดำเนินการไว้ในอดีตสมัยที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย






