ราชกิจจาฯ เผยแพร่ พ.ร.ฎ.ให้ธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ พ.ร.ฎ.ให้ธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถาบันการเงิน

วันที่ 6 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 142 ตอนที่ 38 ก เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา กำหนดให้การเช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นกิจการที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน

ขณะที่เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ระบุหมายเหตุในท้ายพระราชกฤษฎีกาว่า โดยที่การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อที่เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับประชาชน และมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และต่อประชาชนผู้ใช้บริการในวงกว้าง

ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นการเฉพาะ สมควรกำหนดให้การประกอบธุรกิจดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 เพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

สาระสำคัญของพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสชิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 7 กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจประกาศข้อมูลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น รวมทั้งข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการธุรกิจนั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของผู้ประกอบการธุรกิจ และในสื่อใด ๆ เพื่อให้ประชาชนและลูกค้าซึ่งมาติดต่อ หรือใช้บริการทราบข้อมูลดังกล่าว และให้รายงานข้อมูลดังกล่าวต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติในเรื่อง ดังต่อไปนี้

1.การทำนิติกรรมหรือสัญญากับลูกค้าในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีทุนทรัพย์หรือมูลค่าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ไม่ว่าจะเป็นในเนื้อหาสาระ วิธีการคำนวณผลประโยชน์ หรือแบบสัญญา

2.ข้อที่ต้องปฏิบัติหากนิติกรรม หรือสัญญาที่ทำขึ้นนั้นให้สิทธิแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงสัญญาได้ฝ่ายเดียว

3.การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจ

4.การดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสชิ่ง

มาตรา 9 ให้ผู้ประกอบธุรกิจแจ้งและแสดงวิธีการและรายละเอียดในการคำนวณอัตราค่าบริการรายปีให้ประชาชนและลูกค้าทราบ

อัตราค่าบริการรายปีตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ค่าใช้ร่ายทั้งสิ้นที่ผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บจากลูกค้าต่อปีในการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น

ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดวิธีการคำนวณอัตราค่าบริการรายปีให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติได้

มาตรา 10 ในกรณีที่มีเหตุอันสมคาร ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้

1.ดอกเบี้ยที่อาจเรียกได้

2.ค่าบริการที่อาจเรียกได้

3.เงินมัดจำที่อาจเรียกได้

4.หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่อาจเรียกได้

5.ผลประโยชน์ที่อาจเรียกได้จากการทำธุรกรรม

6.เบี้ยปรับที่อาจเรียกได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) หมายถึง บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด รัฐธรรมนูญ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ