หลายคนมองข้าม ผัก 1 ชนิด สรรพคุณหลักล้าน เป็นซูเปอร์ฟู้ดต้านมะเร็ง
ผักปวยเล้ง (Spinach) หรือที่บางคนเรียกว่าผักโขมฝรั่ง มีปริมาณธาตุเหล็กสูงกว่าเนื้อวัว ในผักปวยเล้ง 100 กรัม มีธาตุเหล็กสูงถึง 2.7 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็น 15% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ในขณะที่เนื้อวัว 100 กรัม มีธาตุเหล็กเพียง 2.6 มิลลิกรัมเท่านั้น นอกจากนี้มันยังเป็น Superfood ที่ช่วยต้านมะเร็งและบำรุงสุขภาพรอบด้าน

1. ป้องกันและต้านมะเร็ง
ผักปวยเล้งอุดมไปด้วย ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สารประกอบที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยช่วยชะลอการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งในกระเพาะอาหารและผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยระบุว่าช่วยต้านการก่อตัวของมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมได้ อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในผักชนิดนี้ยังช่วยลดการอักเสบ ซึ่งเป็นต้นตอของโรคร้ายแรงต่างๆ
2. บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
ผักชนิดนี้เป็นแหล่งของโพแทสเซียมชั้นดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิตและปรับสมดุลเกลือในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีโฟเลตและแมกนีเซียม ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างไนตริกออกไซด์ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตและส่งเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง
3. บำรุงสายตา ชะลอความเสื่อม
ผักปวยเล้งคือตัวช่วยชั้นยอด เพราะมีสาร ลูทีน และ ซีแซนทีน สูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจกในผู้สูงอายุ รวมถึงมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ ที่ช่วยลดอาการตาแห้ง บรรเทาอาการคันตา และช่วยบำรุงการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น
4. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักปวยเล้งเพียงหนึ่งมื้อ สามารถให้วิตามิน K ได้มากถึง 300% ของความต้องการต่อวัน ซึ่งวิตามิน K มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และยังทำงานร่วมกับแมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อรักษาสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงอยู่เสมอ
5. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ผักปวยเล้งต้มสุก 1 ถ้วย มีไฟเบอร์ประมาณ 4-5 กรัม และให้แคลอรีต่ำ จึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงหลังมื้ออาหาร แถมยังมีกรดอัลฟา-ไลโปอิก (Alpha-lipoic acid) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน และลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวังในการทาน
ไม่ควรทานผักปวยเล้งมากเกินไป เนื่องจากมีสาร ออกซาเลต (Oxalate) สูง ซึ่งหากสะสมมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้ ทานครั้งละประมาณ 100 กรัม เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็เพียงพอ







