หลายคนมองข้าม! 5 สัญญาณบนร่างกาย เตือนอาจเสี่ยงเป็นเบาหวาน
จากเว็บต่างประเทศ ได้เผยว่า เจด ริเวอร์ส ผู้สร้างคอนเทนต์บน TikTok ที่อ้างว่าเธอสามารถจัดการภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) ได้สำเร็จ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต เธอได้ระบุถึงตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังมุ่งหน้าสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามรายงานข่าว โดยเธอกล่าวว่า “หากร่างกายของคุณมีลักษณะเช่นนี้ มีโอกาสสูงที่คุณกำลังจะเข้าสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2” ซึ่งถือเป็นคำเตือนที่น่าสนใจและควรนำมาพิจารณา
5 สัญญาณภายนอก ร่างกายกำลังเตือนเสี่ยงเบาหวาน
1. รอยคล้ำใต้รักแร้หรือที่คอ (Acanthosis Nigricans)
รอยคล้ำเป็นปื้นหนาบริเวณใต้รักแร้หรือลำคอเป็นสัญญาณเบาหวานแรกที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ความสำคัญ สภาวะนี้เรียกว่า Acanthosis Nigricans (AN) ซึ่งมักเป็นผลมาจากภาวะดื้ออินซูลินในร่างกาย ผิวหนังบริเวณที่มีรอยพับจะเปลี่ยนเป็นสีเข้ม หนา และมีลักษณะคล้ายกำมะหยี่ การมีรอยคล้ำลักษณะนี้แสดงว่าความสามารถในการใช้อินซูลินของร่างกายเริ่มมีปัญหา
2. ติ่งเนื้อบนผิวหนัง (Skin Tags) จำนวนมาก
ติ่งเนื้อเล็กๆ บนผิวหนังที่เกิดขึ้นหลายจุดสามารถเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ได้เช่นกัน งานวิจัยแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการมีติ่งเนื้อหลายจุดกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะดื้ออินซูลิน อย่างไรก็ตาม การมีติ่งเนื้อไม่ถือเป็นข้อสรุปของโรค หากพบติ่งเนื้อจำนวนมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
3. เส้นรอบเอวเกินครึ่งหนึ่งของส่วนสูง
การวัดขนาดรอบเอวที่เกินครึ่งหนึ่งของความสูงถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญมาก การมีไขมันสะสมบริเวณช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะรอบเอวที่ใหญ่เกินไป (เช่น เกิน 94 ซม. สำหรับผู้ชาย และเกิน 80 ซม. สำหรับผู้หญิง) บ่งชี้ถึงอันตรายทางเมตาบอลิซึมที่เพิ่มขึ้น
4. หนอกหลังคอ (Buffalo Hump)
ลักษณะ "Buffalo Hump" คือไขมันที่สะสมเป็นปื้นนูนบริเวณหลังคอและไหล่ด้านหลัง แม้ว่าอาการนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ทั่วไปของ Cushing's Syndrome ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง แต่ก็มีความเชื่อมโยงกับเบาหวาน ระดับคอร์ติซอลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจเป็นผลมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานาน ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันในบริเวณนี้เป็นพิเศษ
5. อาการเท้าบวม
โรคเบาหวานสามารถทำลายเส้นเลือดและเส้นประสาทได้ ทำให้การไหลเวียนโลหิตลดลงและเกิดการสะสมของของเหลวบริเวณขาและเท้า การบวมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเบาหวานที่ควรได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว แม้ว่าอาการบวมอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจ ไต หรือระบบหลอดเลือดดำ แต่สภาวะเหล่านี้ก็มักจะมาพร้อมกับโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี
นอกจากนี้ การมีน้ำหนักเกินสามารถนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง การหายใจที่ถูกรบกวนจะทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลง และกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น คุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีจะเพิ่มความเครียดต่อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานขยายตัว ดังนั้น หากคุณมีอาการนอนกรนเสียงดังหรือรู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อตื่นนอน ควรปรึกษาแพทย์ทันที






