มาริษ แนะ แก้ชายแดน ดึงจีนร่วมกดดันกัมพูชา

มาริษ แนะ แก้ชายแดน ดึงจีนร่วมกดดันกัมพูชา

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นต่อพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งในมิติความมั่นคง การจัดการเขตแดน และบทบาทของประเทศที่ 3 ในขั้นตอนการเจรจา ซึ่งล้วนสะท้อนถึงคำถามสำคัญเกี่ยวกับทิศทางและความสอดคล้องของยุทธศาสตร์การต่างประเทศไทยท่ามกลางบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

นายมาริษ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีจุดยืนชัดเจนว่า ข้อพิพาทไทย-กัมพูชาควรแก้ไขผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีโดยตรง ไทยไม่ต้องการให้ประเทศที่ 3 เข้ามาเป็นคนกลาง เนื่องจากไทยไม่เคยละเมิดข้อตกลงใดที่ทำร่วมกับกัมพูชา บทบาทของประเทศที่ 3 จึงควรจำกัดอยู่เพียงสถานะ ผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพอย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม การลงนามข้อตกลงสันติภาพ Joint Declaration (JD) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีผู้นำสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียร่วมเป็นสักขีพยาน ได้ทำให้เกิดคำถามว่า ไทยได้ยอมรับบทบาทประเทศที่ 3 ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยโดยปริยายหรือไม่

อดีตรมว.ต่างประเทศรายนี้ยังกล่าวว่า รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร สามารถใช้ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีนซึ่งร่วมเป็นสักขีพยานในข้อตกลงดังกล่าว กดดันกัมพูชาให้เคารพข้อกำหนดในสันติภาพได้สำเร็จ แต่หากปล่อยให้มหาอำนาจกลายมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยโดยตรง ไทยจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากยิ่งขึ้น

ในส่วนที่รัฐบาลเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝากข้อความผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียมายืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่ผูกเรื่องการระงับปฏิญญาสันติภาพกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ นั้น นายมาริษมองว่าเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความสับสน เพราะการสื่อสารกับประเทศมหาอำนาจในเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์เศรษฐกิจสำคัญ ควรเป็นการเจรจาโดยตรง ไม่ใช่ผ่านประเทศที่ 3 แม้ในบางกรณีช่องทางคู่มิตรจะสามารถใช้ได้ แต่เมื่อเป็นประเด็นด้านความมั่นคงรัฐ การสื่อสารทางการทูตโดยตรงเป็นหัวใจสำคัญของศักยภาพทางยุทธศาสตร์และความน่าเชื่อถือของประเทศ

นายมาริษยังระบุว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่เพียงทดสอบการจัดการปัญหาเขตแดนเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบประสิทธิภาพและความชัดเจนของนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยการรักษาท่าทีที่สอดคล้องกัน การสื่อสารตรงกับคู่เจรจา และการประเมินผลกระทบทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับแนวทางแก้ไขที่เสนอ นายมาริษชี้ว่า รัฐบาลควรกลับมายืนหยัดในกรอบการเจรจาทวิภาคีกับกัมพูชาอย่างจริงจังในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของไทย พร้อมใช้บทบาทประเทศที่ 3 เป็นแรงสนับสนุนกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ อีกทั้งควรประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ให้รอบคอบก่อนกำหนดท่าทีหรือดำเนินการใดในเวทีต่างประเทศ

ในส่วนความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ไทยควรใช้ช่องทางทางการทูตระดับสูงสื่อสารโดยตรง ไม่อาศัยการส่งต่อผ่านประเทศอื่น ขณะเดียวกันควรรณรงค์ผ่านกลไกทวิภาคีให้จีน ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงหยุดยิง รับทราบข้อเท็จจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด เพื่อช่วยกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อของข้อตกลงหยุดยิง พร้อมรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ