พท.ประณามกัมพูชา ละเมิดปฏิญญาสันติภาพ จี้ รบ.กดดันผ่านประชาคมโลก
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดเหตุทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด บริเวณห้วยตามาเรีย พื้นที่ชายแดนไทย หลังจากมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชาลักลอบรื้อรั้วลวดหนามและวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย
นายมาริษกล่าวในแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเสนอให้กองทัพนำ หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยขอรับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปมาใช้ เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ในอนาคต
นายมาริษได้เสนอแนวทางการดำเนินการ 5 ประการ

1.ประณามกัมพูชาอย่างเป็นทางการ พรรคเพื่อไทยขอประณามการกระทำของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิด ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ข้อตกลงหยุดยิง และอนุสัญญาออตตาวา อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
2.ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด พรรคเสนอให้รัฐบาลต่อยอดการดำเนินงานเดิมของพรรค โดยร่วมมือกับประเทศภาคีอนุสัญญากรุงออตตาวา และศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) พร้อมผลักดันการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น หุ่นยนต์ตรวจจับและเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงระบบ surveillance เพื่อสอดส่องการละเมิดของกัมพูชาในเขตชายแดน
3.กดดันกัมพูชาผ่านช่องทางการทูตและอาเซียน พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกระดับการเจรจากับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย, นายรอมวัลเดซ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานะประธานอาเซียนคนต่อไป รวมถึงสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทในกระบวนการสันติภาพไทย–กัมพูชา
4.ผลักดันการประณามกัมพูชาในเวทีนานาชาติ พรรคเสนอให้รัฐบาลนำกรณีนี้เข้าสู่วาระของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ที่นครเจนีวา ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคม เพื่อให้ประชาคมโลกกดดันให้กัมพูชารับผิดชอบและเข้าร่วมกระบวนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจัง
5.เร่งปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และกดดันกัมพูชาเชิงรุก พรรคเพื่อไทยชี้ว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์เป็นสาเหตุสำคัญของความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา จึงเสนอให้รัฐบาลไทยกลับมาเป็นผู้นำในการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาค ทั้งในกรอบอาเซียน อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ (UNODC) เพื่อทำลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา กล่าวเสริมว่า การเดินหน้าปราบแก๊งสแกมเมอร์ถือเป็นการกดดันกัมพูชาเชิงรุก ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยริเริ่มและผลักดันให้ไทยมีบทบาทนำในภูมิภาค แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องเร่งต่อยอดให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
เขาระบุว่า รัฐบาลควรติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีของ Prince Group ซึ่งหลายประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว รวมถึงตรวจสอบผลสอบของนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เปิดเผยว่ามีการเสนอสินบน 40 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อแลกกับการไม่ปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์
นายกฤชนนท์ยังเสนอให้รัฐบาลติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการสแกมเมอร์อย่างจริงจัง โดยใช้กลไกตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมเน้นย้ำให้เดินหน้าความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์สามฝ่าย ไทย-จีน-กัมพูชา พัฒนาต่อยอดจากโมเดล ไทย-จีน-เมียนมา ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในอดีต เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด.






