ประชุม กมธ.แก้รธน. ล่ม องค์ประชุมไม่ครบ โฆษก ถามหาวุฒิภาวะ-หวั่นอนาคตมีปัญหา
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ พ.ศ. โดยมี นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณา ร่างมาตรา 256/1 ซึ่งว่าด้วย องค์ประกอบขององค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะให้มีเฉพาะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ควบคู่ไปด้วย
การประชุมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 09.30 น. โดยเปิดให้สมาชิก กมธ.ที่เสนอแนวทางต่าง ๆ ได้นำเสนอรายละเอียดและอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง กระทั่งเวลาเที่ยง ประธานได้แจ้งให้เตรียมลงมติ แต่ก่อนลงคะแนนต้องตรวจสอบองค์ประชุม ปรากฏว่ามี กมธ.อยู่ในห้องเพียง 20 คน จากทั้งหมด 43 คน จึงถือว่าไม่ครบองค์ประชุม ส่งผลให้ ต้องปิดการประชุมและเลื่อนการลงมติไปวันที่ 12 พฤศจิกายน เวลา 09.30 น. โดยจะเริ่มประชุมด้วยวาระการลงมติในมาตราดังกล่าวทันที
นายนรเศรษฐ์ หนึ่งใน กมธ. กล่าวภายหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการพิจารณามาตรา 256/1 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ไม่สามารถลงมติได้เพราะองค์ประชุมไม่ครบ แม้ กมธ.จะทำงานอย่างเต็มที่ตามกรอบเวลาที่กำหนดก็ตาม จึงจำเป็นต้องเลื่อนมติออกไป
หากวันนี้ลงมติได้ จะช่วยให้การพิจารณามาตราต่อ ๆ ไปเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ต้องเลื่อนไปวันพุธหน้า และขอให้ กมธ.ทุกท่านเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อไม่ให้กระบวนการล่าช้า
ด้าน นายเอกพร กมธ.อีกคนหนึ่ง ระบุว่า เหตุที่องค์ประชุมไม่ครบ มาจาก กมธ.บางส่วนติดภารกิจในพื้นที่และต่างประเทศ ยืนยันว่าไม่มีใครตั้งใจเล่นเกมทางการเมือง พร้อมชี้แจงว่า กมธ.ได้วางแนวทางพิจารณาไว้ 2 รูปแบบ คือ
-เดินหน้าตามร่างของพรรคประชาชน
-จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ ไม่ว่าทางใดก็อยู่ในกรอบที่ตกลงร่วมกันไว้ตั้งแต่ต้น และคณะทำงานจะเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการลงมติในวันที่ 12 พฤศจิกายน
น.ส.พนิดา กมธ.อีกคน เปิดเผยว่า สมาชิกบางส่วนต้องกลับพื้นที่เพื่อดูแลสถานการณ์น้ำท่วมและพายุ จึงไม่สามารถอยู่ร่วมประชุมจนถึงเวลา 12.30 น. ได้ นอกจากนี้ยังยอมรับว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นรูปแบบขององค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้การหาฉันทามติล่าช้า
ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ารูปแบบใดจะเป็นที่ยอมรับมากที่สุด แต่เชื่อว่าการประชุมครั้งหน้าจะได้ข้อสรุป เพื่อให้มาตรานี้เดินหน้าได้ทันกรอบเวลา
นายนรเศรษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นภารกิจสำคัญของ กมธ.ทุกฝ่าย จึงขอให้ให้ความสำคัญเท่ากับภารกิจอื่น พร้อมยืนยันว่าการประชุมครั้งต่อไปจะพยายามรักษาไทม์ไลน์เดิม เพื่อให้ร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสร็จตามกรอบที่วางไว้ แม้อาจมีการขยับเวลาบ้างหากต้องใช้เวลาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
เราพยายามอย่างเต็มที่ให้การลงมติในวันที่ 12 พฤศจิกายนเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สะดุดอีก นายนรเศรษฐ์กล่าว






