สงครามข่าวลวง เปิดกระบวนการ ตระกูลฮุน ล้างสมองคนรุ่นใหม่
ภายหลัง สม รังสี นักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญของกัมพูชา ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ประกาศตั้ง สภาต่อต้านแห่งชาติกัมพูชา (Cambodia National Resistance Council: CNRC) พร้อมเริ่มปฏิบัติภารกิจในนาม รัฐบาลอิสระแห่งกัมพูชา 23 ตุลาคม เพื่อทำหน้าที่แทนระบอบของสมเด็จฮุน เซน
ได้มีการพูดคุยกับ ซามาดี อู อดีตประธานเยาวชนพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) สาขาสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ทำงานร่วมกับองค์กร Human Rights Foundation (HRF) และทำหน้าที่ทูตของขบวนการ Khmer Movement for Democracy
ซามาดี อู ซึ่งเกิดและเติบโตในพนมเปญ ก่อนลี้ภัยไปสหรัฐฯ ตั้งแต่ 9 ขวบ เผยว่า หากจะให้ประเมินประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา ให้เพียง 2 คะแนนจาก 10 เพราะประเทศขาดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และปราศจากหลักนิติธรรม
ทุกอย่างอยู่ในมือรัฐบาล กฎคือสิ่งที่ผู้นำพูด ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีความโปร่งใส” ซามาดี อู กล่าว
เขายังชี้ว่า สื่ออิสระและภาคประชาสังคมถูกจำกัดสิทธิจนเกือบหมดสิ้น ทั้ง VOA, VOD, Radio Free Asia และองค์กรอย่าง NDI หรือ IRI ที่เคยมีบทบาทสังเกตการณ์เลือกตั้ง ต่างถูกกล่าวหาว่าเป็น เครื่องมือของต่างชาติ และถูกขับออกจากประเทศ เหลือเพียงสื่อรัฐอย่าง Fresh News ที่ผูกขาดการนำเสนอข่าวจนกลายเป็นเครื่องมือ ล้างสมองคนรุ่นใหม่
เมื่อพูดถึงระบอบการปกครองปัจจุบัน ซามาดี อู ใช้คำว่า เผด็จการสายเลือด โดยระบุว่า การที่ ฮุน มาเนต สืบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก สมเด็จฮุน เซน ผู้เป็นบิดา ไม่ใช่การสืบสานการเมืองตามระบบ แต่คือการส่งต่ออำนาจทางครอบครัว
ในกัมพูชา ทุกตำแหน่งสำคัญกระจายอยู่ในเครือญาติของฮุน เซน แม้วันหนึ่งเขาจะจากไป ก็ยังไม่มีใครเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะประเทศถูกผูกไว้กับตระกูลเดียว
ซามาดี อู อธิบายว่า หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของระบอบฮุน เซน คือ “การควบคุมความคิดคนรุ่นใหม่” ผ่านการบิดเบือนประวัติศาสตร์และสร้างความกลัวต่อความเปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่เด็ก เราเรียนว่าฮุน เซน คือผู้ปลดปล่อยประเทศ ไม่มีประวัติศาสตร์อื่นก่อนหน้านั้น เขาคือวีรบุรุษที่กอบกู้กัมพูชาจากเขมรแดง
เขากล่าวว่า ภาพจำของยุคฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1975–1979 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 ล้านคน ถูกนำกลับมาใช้สร้าง ความหวาดกลัวต่อประชาธิปไตย จนคนรุ่นใหม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำประเทศกลับสู่ความโกลาหลอีกครั้ง
หลังข้อตกลงสันติภาพปารีสปี 1991 ซึ่งระบุให้กัมพูชาจัดการเลือกตั้งเสรีและเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายค้าน มีเพียง คนคนเดียว ที่ได้อำนาจต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ฮุน เซน
ซามาดี อู ระบุว่า ทุกครั้งที่มีโอกาสเกิดการเลือกตั้งที่โปร่งใส รัฐบาลจะตอบโต้ด้วยการรัฐประหารหรือสั่งยุบพรรคฝ่ายค้าน เช่นเหตุการณ์ปี 2013 ที่เกือบเปิดทางสู่ประชาธิปไตย แต่ถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลสร้างข่าวเท็จใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่าฝ่ายค้านคือภัยของชาติ เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสรู้ข่าวจากโลกภายนอกเลย
ซามาดี อู มองว่า แรงกดดันจากภายนอก เป็นทางออกเดียวที่อาจช่วยขับเคลื่อนประชาธิปไตยในกัมพูชา โดยยกตัวอย่าง สหภาพยุโรป (EU) ที่ปรับลดสิทธิพิเศษทางการค้า (EBA) เนื่องจากรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชน และ สหรัฐฯ ที่เพิ่มกำแพงภาษีสินค้ากัมพูชาหลังพบความเชื่อมโยงกับจีน
รัฐบาลพยายามปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิด ในที่สุดสหรัฐฯ ยึดทรัพย์นักการเมืองระดับรัฐมนตรีกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ เพราะพบหลักฐานอาชญากรรมไซเบอร์และการค้ามนุษย์ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน
ซามาดี อู เรียกร้องให้นานาชาติ โดยเฉพาะประเทศไทย ร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตรวจสอบและคว่ำบาตรผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมดังกล่าว
มีคนไทยจำนวนหนึ่งถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชา บางคนยังติดอยู่ที่นั่น ผมอยากให้รัฐบาลไทยช่วยพวกเขาออกมา และร่วมกันเปิดโปงสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับการจัดตั้ง CNRC ของสม รังสี ในวันครบรอบ 34 ปีข้อตกลงสันติภาพปารีส (23 ตุลาคม 2568) ซามาดี อู มองว่าเป็น สัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่
ผมพูดแทน CNRC ไม่ได้ แต่สำหรับผม สม รังสี คือคนที่มีวิสัยทัศน์ประชาธิปไตย เขาคือบิดาแห่งประชาธิปไตยของกัมพูชา คนที่อาจนำข้อตกลงปารีสกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
เขาเรียกร้องให้นานาชาติทบทวนข้อตกลงปี 1991 และกดดันรัฐบาลฮุน มาเนต ให้เปิดทางสู่การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม พร้อมยุติการกีดกันฝ่ายค้านและ NGO
ซามาดี อู ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงในกัมพูชาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ ประชาชนลุกขึ้น พร้อมแรงสนับสนุนจากต่างประเทศ
เหมือนในเนปาลหรือบังกลาเทศ การลุกขึ้นของประชาชนภายในประเทศ ต้องมาควบคู่กับแรงกดดันจากภายนอก เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเป็นไปอย่างสงบ และไม่มีผู้นำเผด็จการเกิดขึ้นอีก
เมื่อถามถึงอนาคตทางการเมืองของตนเอง เขายิ้มก่อนตอบว่า
ผมไม่รู้อนาคต แต่ถ้าวันหนึ่งกัมพูชามีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ผมก็อยากกลับไปลงสมัคร และอาจจะเป็นรัฐมนตรีได้ ถ้าประชาชน 17 ล้านคนเห็นว่าผมคู่ควร






