
หอการค้า ชี้ศก.ไทยได้แรงหนุน คนละครึ่ง พลัส ดันจีดีพีโต 2%
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 67,180 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2568 ขยายตัวประมาณ 2-2.5% โดยมีโอกาสสูงที่จะขยายตัวได้ ร้อยละ 2 เป็นอย่างน้อย
ในมาตรการที่ประกาศใช้ ประกอบด้วยโครงการ คนละครึ่ง พลัส สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน ใช้งบประมาณ 44,400 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้ 0.32% ขณะที่อีกส่วนเป็น การเติมเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน จำนวน 13.4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 22,780 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นจีดีพีได้อีก 0.12%
ผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการเกี่ยวกับโครงการ คนละครึ่ง พลัส พบว่า
-58.4% ตั้งใจเข้าร่วมโครงการ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดขาย
-22.4% ไม่เข้าร่วม โดยให้เหตุผลเรื่องความยุ่งยากของระบบ ความกังวลเรื่องภาษี และความไม่แน่นอนของการรับเงินจากระบบ
-19.2% ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่า มาตรการนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับปานกลางถึงมากที่สุด โดย 59.1% มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 ยังคงไม่ต่างจากปีก่อน ขณะที่
-32.2% คาดหวังระดับปานกลาง
-30.5% คาดหวังมาก
-17% คาดหวังน้อย
-10.3% ไม่คาดหวังเลย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมองว่าโครงการดังกล่าวเหมาะสมกับธุรกิจค้าปลีกและร้านค้าขนาดเล็กเป็นหลัก ส่วนธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์ หรือบริการเฉพาะทาง จะไม่ได้รับผลเชิงบวกโดยตรง เพราะวงเงินจำกัด และเป็นมาตรการระยะสั้น
สำหรับการใช้จ่ายภายใต้โครงการคนละครึ่ง พลัส คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 2,000-2,400 บาทต่อคน โดยเฉลี่ยอาจใช้จ่ายเต็มสิทธิ 400 บาทต่อวัน ซึ่งจะทำให้เงินหมดภายในเวลา 10–12 วัน ส่งผลให้การจับจ่ายในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะในเทศกาลลอยกระทง มีแนวโน้มคึกคักขึ้น
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบาง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า ปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน หลายสำนักวิจัยในประเทศก็ประเมินตรงกันว่า เศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตในกรอบ 2-2.5%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปี 2569 ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.6% ซึ่งอาจต่ำกว่าปีนี้ จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางการค้า ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ยังไม่สามารถตกลงกันในเรื่องภาษีนำเข้า
อีกประเด็นที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์การเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจในช่วงต่อจากนี้ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงไตรมาส 1 ปี 2569 ซึ่งถือเป็น รอยต่อ สำคัญของเศรษฐกิจ
รัฐบาลได้แถลงต่อสภาว่ามีแนวโน้มจะ ยุบสภาในเดือนมกราคม 2569 แต่หากมีขั้นตอนการรับฟังความเห็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจทำให้การยุบสภาเลื่อนออกไปเป็นช่วงเดือนมีนาคม 2569 ซึ่งช่วงเวลานี้จะมีผลต่อการส่งผ่านนโยบายจากไตรมาส 4 ปี 2568 ไปสู่ช่วงต้นปีหน้า
รัฐบาลได้ประกาศแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน 5 เสาหลักนโยบายเศรษฐกิจ
-การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายประชาชน
-การแก้ไขปัญหาหนี้สินและสภาพคล่อง
-การส่งเสริมการออมสำหรับประชาชนรายย่อย
-การฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว
-การรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า
นายธนวรรธน์มองว่า หากสามารถขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ได้ต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีโอกาสขยายตัวได้ เกินกว่าร้อยละ 2 และช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้ในระยะยาว