รู้จักโรค RSV เด็กเล็ก-คนชราเสี่ยงมาก เผยอาการและวิธีป้องกัน

รู้จักโรค RSV เด็กเล็ก-คนชราเสี่ยงมาก เผยอาการและวิธีป้องกัน

เรียกได้ว่า ช่วงนี้เด็กเป็นกันเยอะมาก สำหรับ โรค RSV หรือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมทั้งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในบ้าน ล้างมือบ่อยๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง และใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากโรคทางเดินหายใจ

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เป็นโรคที่สามารถพบได้มาก ในช่วงปลายฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว โรคชนิดนี้เป็นหนึ่งในโรคที่มีอาการคล้ายไข้หวัด แต่อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมทั้งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ

การติดเชื้อของเชื้อไวรัส RSV เกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางม่านตา จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ และแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอหรือจาม สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักมีอาการ 4-6 วัน หลังได้รับเชื้อ

อาการของโรค RSV อาการโดยทั่วไปคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคชนิดนี้เกิดได้หลายช่วงอายุ แต่ในวัยผู้ใหญ่พบว่าจะมีอาการไม่รุนแรง และจะเกิดอาการที่รุนแรงในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือปอด หรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ เป็นต้น

สำหรับการตรวจรักษาในผู้ป่วยที่พบว่ามีอาการบ่งชี้แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อไวรัส RSV จากสารคัดหลั่งในจมูก การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียารักษา แพทย์จะดำเนินการรักษาตามอาการของผู้ป่วย แต่หากพบว่าอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงต้องรีบไป พบแพทย์ทันที

วิธีป้องกัน RSV เพื่อป้องกันการติดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV เราควรดูแลตัวเองให้ดี ตามวิธีเหล่านี้

1.หลีกเลี่ยงไปในที่ชุมชนแออัด

2.รักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกายในช่วงอากาศเย็น

3.หมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้และอุปกรณ์ภายในบ้านที่สัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิด ราวบันได รีโมท

4.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่

5.ใช้ช้อนกลางเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

6.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

7.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์

8.ทุกคนในบ้านควรชำระร่างกายให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาแพร่กระจายให้บุคคลภายในบ้าน

9.ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ