วันที่ 26 กันยายน 2568 นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ส.ส.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรล่ม ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด โดยเรียบเรียงข้อเท็จจริงตามมุมมองของตนเองอย่างตรงไปตรงมา

องค์ประชุมเป็นของใคร? นายชุติพงศ์ระบุว่า ในอดีตที่ผ่านมา องค์ประชุมมักเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล เพราะร่างกฎหมายส่วนใหญ่มาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และฝ่ายรัฐบาลที่ถือเสียงข้างมากก็ต้องมีหน้าที่ผลักดันกฎหมายให้ผ่าน หากรัฐบาลควบคุมเสียงในสภาไม่ได้จนทำให้กฎหมายตกหรือสภาล่ม ก็ถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรง และในหลายกรณีอาจนำไปสู่การยุบสภา

แต่ในสมัยนี้ นายชุติพงศ์ชี้ว่า บรรยากาศเปลี่ยนไป เพราะกฎหมายจำนวนมากที่เข้าสภาเป็นร่างจากพรรคฝ่ายค้านหรือ ส.ส. โดยเฉพาะจากพรรคก้าวไกลในสมัยก่อน แม้จะเป็นฝ่ายค้านแต่ได้ยื่นร่างกฎหมายจำนวนมากเข้าไป ขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังไม่มีร่างใหม่จาก ครม. เพิ่มเข้ามา และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงทำให้การผลักดันร่างใดๆ เป็นเรื่องยาก

ร่างใคร ใครก็ควรแบกองค์ประชุม นายชุติพงศ์เสนอว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้เสนอร่างกฎหมายควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่ององค์ประชุมเอง ไม่ใช่โยนภาระให้ฝ่ายอื่น เพราะหากพรรคไหนอยากผลักดันร่างของตน ก็ต้องมีความพร้อมในการระดมเสียงสนับสนุนในสภาด้วยตนเอง

กรณีล่าสุดที่เกิดเหตุสภาล่มขณะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด นายชุติพงศ์เปิดเผยว่า ร่างนี้เป็นของรัฐบาลชุดเดิมที่พรรคเพื่อไทยมีส่วนร่วมผลักดัน แต่กลับพบว่าในวันที่อภิปรายองค์ประชุม ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนมากหายไป โดยเหลืออยู่เพียง 30 กว่าคนในห้องประชุม ทั้งที่เป็นร่างกฎหมายที่พรรคเคยหาเสียงไว้เอง

ส.ส.เพื่อไทยที่อยู่กันจนจบ ผมนับถือพวกคุณมากครับ แต่เพื่อนร่วมพรรคคุณหายไปเกือบร้อยคน ทั้งที่ยังไม่ถึงเย็น มันก็น่าตั้งคำถาม

นายชุติพงศ์ยังเสนอว่า พรรคเพื่อไทยควรร่วมมือกับพรรคประชาชนและพรรคอื่นๆ เพื่อผลักดันกฎหมายร่วมกัน ทั้งในฐานะฝ่ายค้านและในฐานะผู้มีเจตนารมณ์เดียวกัน โดยเน้นว่า หากยึดติดกับแนวคิด องค์ประชุมเป็นของรัฐบาล ทั้งที่ในความเป็นจริง ฝ่ายค้านกลับมีเสียงมากกว่า ก็จะทำให้การทำงานของสภาไม่มีประสิทธิภาพ และประชาชนจะเป็นฝ่ายเสียหายที่สุด

ถ้าอยากลุยทำงานจริงๆ เราทำอะไรได้อีกเยอะครับ แต่ถ้าเลือกจะไม่ทำ แล้วบอกว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล ทั้งที่เป็นร่างของพวกคุณเอง แบบนี้มันแฟร์หรือครับ?

ด้วยความเคารพครับ นายชุติพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย