หมอเจด เตือนมะเร็งในคนหนุ่มสาว ที่เป็นเยอะที่สุด พร้อมเผย 7 บทเรียนจากการจากไปของคุณหมอวัย 30 ปี

หมอเจด เตือนมะเร็งในคนหนุ่มสาว ที่เป็นเยอะที่สุด พร้อมเผย 7 บทเรียนจากการจากไปของคุณหมอวัย 30 ปี

วันที่ 21 ก.ย. 68 ทางเพจหมอเจด ได้ออกมาเผยมะเร็งลำไส้ในคนหนุ่มสาว 7 บทเรียนจากการจากไปของคุณหมอวัย 30 ปี โดยหมอเจดเผยว่า

1. มะเร็งลำไส้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

เมื่อก่อนเรามักจะนึกว่า “มะเร็งลำไส้ = โรคของผู้สูงอายุ” แต่ข้อมูลล่าสุดกลับบอกว่าไม่ใช่แล้วครับ! งานวิจัยจาก American Cancer Society ปี 2023 พบว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้อายุต่ำกว่า 50 ปีเพิ่มขึ้นเกือบ สองเท่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา จนถึงขั้นต้องมีคำว่า Early-Onset Colorectal Cancer ขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่น่าคิดคือในกลุ่มอายุน้อย โอกาสถูกวินิจฉัยช้าและเสียชีวิตกลับสูงกว่ากลุ่มผู้สูงอายุด้วยซ้ำ เพราะคนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นโรคนี้ เรื่องราวของคุณหมอวัย 30 ปีที่จากไป จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า “โรคนี้ไม่ได้เลือกอายุ” และแม้เราจะยังหนุ่มสาว ก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพหรือตรวจร่างกายครับ

2. อาการเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม

หลายครั้งร่างกายพยายามส่งสัญญาณ แต่เราไม่ฟัง เช่น ปวดท้องบ่อย ๆ แน่นท้องหลังอาหาร กินข้าวได้ไม่มากเหมือนเดิม หรือถ่ายผิดปกติสลับท้องผูก-ท้องเสีย ถ้าเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวไม่เป็นไร แต่ถ้า เป็นบ่อยเกิน 2–3 สัปดาห์ หรือมีอาการร่วมกับน้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีเลยครับ เพราะในความเป็นจริง 70–80% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ในระยะต้น ๆ มักมีอาการเพียงเล็กน้อยที่คล้ายโรคทั่วไป เช่น กรดไหลย้อนหรือลำไส้แปรปรวน บางคนบางกรณีเริ่มจากอาการจุกแน่นท้องและกินได้น้อยลง ฟังดูไม่ร้ายแรง แต่กลับเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ เราจึงควร “เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง” และอย่ารอให้สายเกินไปครับ

3. ปัจจัยเสี่ยงในยุคปัจจุบัน

วิถีชีวิตยุคใหม่คือปัจจัยเสี่ยงชั้นดีของมะเร็งลำไส้ครับ งานวิจัยจาก WHO ระบุว่า การกินเนื้อแปรรูป (ไส้กรอก แฮม เบคอน) 50 กรัมต่อวัน หรือง่ายๆวันละห่อ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ 18% ส่วนเนื้อแดงมาก ๆ ก็เป็นปัจจัยชัดเจนเช่นกันโดยเฉพาะเนื้อแดงที่ทำให้ไหม้เกรียมที่หลายคนชอบ บวกกับการนั่งทำงานยาว ๆ ไม่ค่อยออกกำลัง ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อย ขี้เกียจเก็บกวาด จนเกิดการอักเสบเรื้อรัง พ่วงด้วยน้ำหวานและอาหารฟาสต์ฟู้ด ก็คือเชื้อไฟชั้นดี อีกทั้งคนรุ่นใหม่หลายคนมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2–3 เท่า พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราอยากลดความเสี่ยง คำตอบคือ “เลี่ยง processed food กินผักผลไม้ให้มากขึ้น และขยับร่างกายให้เยอะกว่าที่เราคิดว่าพอแล้ว”

4. ความสำคัญของการเจอโรคให้เร็วที่สุด

“เจอเร็ว = รักษาได้ เจอช้า = โอกาสหายลดลง” ฟังเหมือนคำโฆษณา แต่เป็นเรื่องจริงทางการแพทย์ครับ สถิติชี้ว่ามะเร็งลำไส้ระยะที่ 1 มีโอกาสรอดชีวิต 5 ปีมากกว่า 90% แต่ถ้าเจอตอนกระจายไปตับหรือปอดแล้ว ตัวเลขจะเหลือเพียง 14% เท่านั้น เรื่องคุณหมอวัย 30 ที่ถูกตรวจพบก้อนในตับตั้งแต่แรก คือภาพสะท้อนว่าโรคนี้อาจวิ่งเร็วกว่าที่เราคิด เราจึงควรใส่ใจอาการผิดปกติ และอย่ากลัวที่จะตรวจลำไส้ เพราะการส่องกล้องไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเหมือนในอดีต แต่คือ “ประกันชีวิต” ที่อาจช่วยเราได้จริง ๆ

5. ตรวจคัดกรอง ควรเริ่มเมื่อไร

Guideline ล่าสุดของ American Cancer Society แนะนำให้คนทั่วไปเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ตั้งแต่อายุ 45 ปี (จากเดิม 50 ปี) เพราะอุบัติการณ์ในคนอายุน้อยพุ่งสูงขึ้น ส่วนคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรเริ่มตรวจเร็วกว่านั้นอีก คือ อายุน้อยกว่าญาติที่เป็นโรค 10 ปี วิธีคัดกรองมีตั้งแต่ง่าย ๆ อย่างตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง (FIT test) ปีละครั้ง ไปจนถึงการส่องกล้อง colonoscopy ทุก 5–10 ปี ที่แม่นยำและสามารถตัดติ่งเนื้อก่อนกลายเป็นมะเร็งได้ด้วย ข้อสำคัญคืออย่าคิดว่า “ยังหนุ่ม ยังไม่เป็นหรอก” เพราะโรคไม่ได้ถามอายุก่อนมาเยือนครับ

6. ใช้ชีวิตวันนี้ เพื่อป้องกันวันหน้า

การป้องกันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยครับ เริ่มจากการกินผักผลไม้ให้มากพอ (วันละอย่างน้อย 400 กรัม หรือครึ่งจานทุกมื้อ) ธัญพืชเต็มเมล็ด ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอ และลดอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งเกินไป งานวิจัยพบว่า “ไฟเบอร์สูงช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้กว่า 30%” ส่วนการออกกำลังกายสม่ำเสมอ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ก็ช่วยลดการอักเสบและเร่งการเคลื่อนไหวของลำไส้ การนอนหลับพอและลดความเครียดยังสำคัญไม่แพ้กัน เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงเรื้อรังมีผลกระตุ้นการอักเสบเช่นกัน จะเห็นว่าการป้องกันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คือการเลือกเล็ก ๆ ในทุกวัน ที่สะสมแล้วสร้างเกราะป้องกันให้เรา หรือเอาจริงๆคือลดความอ้วนด้วยครับ

7. ฝากถึงกันด้วยความห่วงใย เรื่องราวการจากไปของคุณหมอวัยเพียง 30 ปีเป็นสิ่งที่สะเทือนใจ เพราะท่านคือคนที่ช่วยชีวิตผู้อื่น แต่กลับต้องจากไปด้วยโรคร้าย เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเล่าขึ้นมาเพื่อสร้างความกลัว แต่เพื่อย้ำว่า สุขภาพคือสิ่งที่เราต้องดูแลตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่รอให้เจ็บป่วยก่อน ถ้าเราหมั่นตรวจร่างกาย ไม่มองข้ามสัญญาณเตือน และใช้ชีวิตที่เอื้อต่อสุขภาพดี เราจะไม่เพียงปกป้องตัวเอง แต่ยังมอบความสบายใจให้คนที่เรารัก ไม่ต้องเสียใจในวันที่อาจสายเกินไปครับ

หมอเจด...เจตนาดี

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ