
เปิดยอดเงินบริจาค วัดนาป่าพง 4 ปี หมุนเวียนหลักร้อยล้าน
วันที่ 17 กันยายน 2568 แหล่งข่าวระดับสูงจาก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เปิดเผยความคืบหน้าในคดีที่เกี่ยวข้องกับ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จังหวัดปทุมธานี กรณีมีเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ถูกโอนเข้าบัญชีของสีการายหนึ่งในประเทศเยอรมนี
หลังจากที่ทีมทนายความของผู้เกี่ยวข้องได้เข้าร้องทุกข์ต่อ กองบังคับการปราบปราม และ กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ป.) พร้อมยื่นเอกสารหลักฐานเบื้องต้น ทางพนักงานสอบสวนได้เริ่มสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องแล้ว
คดีนี้มีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา เนื่องจากมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ และการจัดตั้งมูลนิธิในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนี ซึ่งต้องรอการวินิจฉัยจาก ป.ป.ช. ว่าจะส่งกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อหรือไม่ ภายในกรอบเวลาการพิจารณา 30 วัน
เมื่อสอบถามถึงการพบพฤติการณ์ทุจริตชัดเจนหรือไม่ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ยังคงมีข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับการบริหารเงินและการสร้างมูลนิธิ ซึ่งยังต้องพิจารณาอย่างละเอียด
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสอบสวนยืนยันว่า ตรวจสอบพบเส้นทางการเงินที่โอนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเยอรมนี ซึ่งเงินจำนวนกว่า 12 ล้านบาท ได้ถูกโอนผ่านหลายงวดไปยังบัญชีที่เชื่อว่าเป็นของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งมูลนิธิที่เยอรมนี แต่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
นอกจากนี้ ยังพบเส้นทางการเงินแยกย่อยอีกหลายบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงินบริจาค ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเชื่อมโยงและความชัดเจน
ข้อมูลเบื้องต้นจากการตรวจสอบย้อนหลัง 3-4 ปี พบว่า ยอดเงินบริจาคที่เกี่ยวข้องกับวัดนาป่าพงมีการหมุนเวียนสูงถึงกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าวัดขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น วัดไร่ขิง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของศรัทธาสาธุชนที่มีต่อวัดและพระอาจารย์
ในส่วนของ สีกาชาวเยอรมัน ที่ได้รับเงินโอน เบื้องต้นพบว่าเป็นเพียงโยมอุปัฏฐาก ไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพระอาจารย์แต่อย่างใด โดยได้รับเงินสนับสนุนรายเดือนประมาณ 120,000 บาท ขณะที่อีกหนึ่งสีกาที่อยู่ในประเทศไทย ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งขยายผลการสอบสวนอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของการเงิน การบริหารจัดการวัด และความเชื่อมโยงระหว่างบุคคล เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป