เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 สำนักข่าว บลูมเบิร์ก และ เดอะ สเตรตส์ไทมส์ รายงานสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเนปาลที่กำลังทวีความรุนแรง หลังประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลจากมาตรการสั่งห้ามใช้สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ และได้ลุกลามกลายเป็นความรุนแรงถึงขั้นปะทะนองเลือด

หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเผาอาคารราชการ และบุกไปยังบ้านของ นางราชยาลักษมี จิตราคาร์ ภริยาของนายจฮาลานาธ คานาล อดีตนายกรัฐมนตรีเนปาล ก่อนกักขังและจุดไฟเผาบ้านจนทำให้นางราชยาลักษมีถูกไฟคลอกเสียชีวิตอย่างอนาถ

สถานการณ์ล่าสุด ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 30 ราย และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,033 คน โดยผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่พอใจการใช้อำนาจของรัฐบาล รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเรื้อรัง

ขณะเดียวกัน นางสุชิลา คาร์กี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของเนปาล และอดีตประธานศาลฎีกา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคลื่อนไหวพลเมือง “เจนซี” (Gen-C) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสถานีข่าว CNN-News18 โดยระบุว่า เธอพร้อมรับบทบาทผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่านจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ พร้อมเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญอันดับแรก คือ การให้ความเคารพและสนับสนุนครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้

เนปาลกลายเป็นประเทศล่าสุดในภูมิภาคเอเชียใต้ที่เผชิญคลื่นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจากประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ก่อนหน้านี้ในปี 2567 บังกลาเทศเคยเกิดการประท้วงครั้งใหญ่จนนำไปสู่การขับไล่นางชีค ฮาสินา อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน ขณะที่ในปี 2565 ศรีลังกาก็เผชิญความวุ่นวายจนรัฐบาลต้องล่มสลายลง

สำหรับสถานการณ์ในเนปาล ขณะนี้มีรัฐมนตรีหลายรายทยอยลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีเคพี ชาร์มา โอลี ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีของประชาชน ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการเมืองอย่างเร่งด่วน