
กต. เปิดรายละเอียด ไทยได้อะไรจาก MOU43
จากกรณีที่มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้ ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา 2 ฉบับ คือ MOU ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ MOU ปี 2544 ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนในไหล่ทวีปที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ โดยให้เหตุผลและมีการตีความในหลายมุม
ก่อนที่ต่อมา วุฒิสภา มีมติตั้ง คณะกรรมาธิการ เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า ควรยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับหรือไม่ ก่อนเสนอข้อสรุปต่อรัฐบาล ขณะที่ทาง สภาผู้แทนราษฎร ยังไม่ตั้งกรรมาธิการ แต่มีแนวโน้มว่าจะเดินหน้าศึกษาเช่นเดียวกันในเร็ว ๆ นี้
ล่าสุด วันที่ 2 ก.ย. 2568 กระทรวงการต่างประเทศโดย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงฯ พร้อมด้วย นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ออกมาให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ MOU ปี 2543
นายนิกรเดชระบุว่า ประเทศไทยยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างสันติ โดยมีกลไกที่ชัดเจน เช่น MOU 2543 ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม และมีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก จึงให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศมาอธิบายให้ชัดเจน
นายเบญจมินทร์ อธิบายว่า การจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น มีกฎหมายและเอกสารอ้างอิงสำคัญหลายฉบับ
1. สนธิสัญญาระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907
2. สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907
3. แผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดน ตามสนธิสัญญาทั้งสองฉบับ
4. เอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง กับการบังคับใช้อนุสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907
5. MOU ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
โดย MOU ปี 2543 เป็นเพียง กรอบความร่วมมือและกลไกในการสำรวจ เพื่อให้ได้หลักเขตแดนที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน และนำมาใช้ได้จริง ไม่ได้เป็นการมอบสิทธิหรือยอมรับเขตแดนใหม่แต่อย่างใด
การสำรวจจะใช้ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 เป็นพื้นฐาน โดยพิจารณาตามลักษณะภูมิประเทศ เช่น สันปันน้ำ แม่น้ำ หรือแนวเส้นตรง รวมถึงใช้แผนที่และเอกสารเก่าที่เคยปักปันไว้ร่วมพิจารณา