
ระวัง! 3 พฤติกรรมหลังมื้ออาหาร อย่าหาทำ เสี่ยงเป็นโรคสมองเฉียบพลัน
จากเว็บต่างประเทศ ได้รายงานว่า ในยุคปัจจุบันอัตราการเกิด ภาวะหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ภาวะสมองขาดเลือด (Stroke) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร กลับกลายเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดภาวะนี้เร็วยิ่งขึ้น โดยแพทย์เตือนว่า 3 พฤติกรรมหลังมื้ออาหารต่อไปนี้ อาจเป็นตัวการเงียบที่ทำลายสุขภาพสมองโดยไม่รู้ตัว
1. รับประทานอาหารอิ่มเกินไป หลายคนเชื่อว่าการรับประทานให้อิ่มจัดคือความพึงพอใจ แต่ในความเป็นจริง การกินมากเกินไปอาจส่งผลเสียรุนแรงต่อระบบไหลเวียนโลหิต โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะเมื่อกินมาก ระบบย่อยอาหารต้องการเลือดจำนวนมาก ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองน้อยลง ส่งผลให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง หรือหลอดเลือดแตก
การศึกษาพบว่า การรับประทานอาหารมากเกินไปยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย และเร่งกระบวนการแข็งตัวของหลอดเลือด (Atherosclerosis) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบอาหารมัน อาหารทอด หรือเนื้อสัตว์ปริมาณมาก ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเกิดภาวะสมองขาดเลือดมากกว่าคนที่ควบคุมอาหารถึง 30%
2. นอนหรือนั่งเอนหลังทันทีหลังมื้ออาหาร หลายคนมักนั่งเอนหลังหรือนอนทันทีหลังอาหารด้วยความเชื่อว่าจะช่วยในการย่อย แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมนี้กลับเป็นผลร้ายต่อระบบทางเดินอาหารและระบบไหลเวียนโลหิต เพราะเมื่อนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร อาหารและกรดในกระเพาะมีแนวโน้มไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน หากเรื้อรัง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การนอนหรือเอนตัวทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองน้อยลง เพิ่มความหนืดของเลือด และกระตุ้นการเกิดลิ่มเลือดโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดอยู่แล้ว แพทย์แนะนำว่า ควรลุกเดินหรือนั่งตรงประมาณ 30-60 นาทีหลังมื้ออาหาร และหากเป็นไปได้ให้เคลื่อนไหวเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน
3. ดื่มน้ำน้อยเกินไป คนจำนวนไม่น้อยมองข้ามการดื่มน้ำหลังมื้ออาหาร โดยเข้าใจผิดว่าหากไม่รู้สึกกระหายก็ไม่จำเป็นต้องดื่ม ซึ่งความเชื่อนี้อาจเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี การดื่มน้ำน้อยทำให้เลือดหนืดมากขึ้น เพิ่มภาระให้สมองในการลำเลียงเลือด และทำให้เกิดลิ่มเลือดง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด
ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยมีความเสี่ยงเกิดหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลันสูงขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน โดยควรแบ่งดื่มตลอดวัน รวมถึงหลังอาหาร เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีและลดความเสี่ยงจากการเกิดลิ่มเลือด
ท้ายที่สุดจะเห็นได้ว่า การป้องกันภาวะหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลันไม่ใช่เรื่องยาก หากเราเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการใส่ใจพฤติกรรมหลังมื้ออาหาร ไม่กินมากเกินไป ไม่นอนทันที และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะสุขภาพที่ดี เริ่มต้นได้จากพฤติกรรมที่ถูกต้องทุกวัน