
รู้จัก แม่แฟง แห่งคณิกา บุคคลในประวัติศาสตร์มีอยู่จริง ตามรอยละครคุณพี่เจ้าขา
เรียกได้ว่า กระแสยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง สำหรับละคร คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ ที่ได้พระนางเคมีเคใจสุดฟินฮากระจายอย่าง โบว์-เมลดา และ ภณ-ณวัสน์ จับมือกัน พาเรตติ้งพุ่งกระฉูด นอกจากความน่ารักและความฮาแบบสุขล้นแล้ว ยังใส่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ เกร็ดข้อมูล ความรู้ในอดีตที่หลายคนอาจไม่ค่อยทราบมาในเรื่องด้วย
โดยเป็นเรื่องราวของ คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านไม่ใช่หงส์ ถ่ายทอดเรื่องราวของ “นิทรา” (โบว์ – เมลดา สุศรี) นางเอกสาวดาวรุ่ง ที่ย้อนเวลากลับมา ในปี จ.ศ.1187 และต้องใช้ชีวิตในร่างของ “บุญตา” คณิกาน้องใหม่ประจำโรงแม่แฟง และคนที่รับบทแม่แฟง คือ จอย รินลณี นั่นเอง
เพิ่งเริ่มฉายไปได้ไม่กี่ตอน ความสนุกของละครก็ “จุดประกาย” ให้ผู้ชมสนใจเรื่องประวัติศาสตร์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริบทและแง่มุมในสมัยนั้นเกี่ยวกับ “ย่านคณิกา” หรือ “ย่านโคมเขียว” ในเมืองบางกอก
จากข้อมูลของ ศิลปวัฒนธรรม ได้เผยข้อเท็จจริงในยุคที่นางเอกย้อนกลับมาในอดีตนั้นคือ ปี จ.ศ.1187 (พ.ศ.2368) หรือ รัชสมัยของรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นยุคที่สยามกำลังจะทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับอังกฤษ ชาวต่างชาติเต็มบ้านเมือง ตรอกย่านต่างๆ จุดโคมเขียวโคมแดงสว่างไสว จุดเด่นคือเป็นยุคที่โรงคณิกาเฟื่องฟู
และนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2398 ที่ประเทศไทยทำข้อตกลงในสนธิสัญญาเบาริ่ง ทำให้ต่างชาติเริ่มเข้ามาแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจในไทย ทำให้อิทธิจากฝั่งตะวันตกเริ่มส่งผลต่อสภาพเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง วิถีชีวิตยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป และจะยิ่งเห็นได้ชัดตั้งแต่ทศวรรษ 2460 เป็นต้นมา
ในช่วงการเปลี่ยนแปลงระหว่าง 2420-2450 ในช่วงเวลานี้วัฒนธรรมความบันเทิงเริ่มได้รับความนิยม เริ่มตั้งแต่ งานเลี้ยงเต้นรำที่บ้านหรือวังเจ้านาย มาสู่การรวมตัวพบปะสังสรรค์ในสถานที่ ซึ่งถูกจัดตั้งมาเพื่อทำกิจกรรม ที่เรียกกันว่า “คลับ” (Club) หรือสโมสรและสมาคม โดยมีกิจกรรม อาทิ เต้นรำ เล่นกีฬา อ่านหนังสือ ฯลฯ ผู้ร่วมกิจกรรมในคลับมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ก็มีข้อมูลว่าบางคลับ “อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น”
วีระยุทธ ปีสาลี ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต เรื่อง ชีวิตยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2427-2488 หยิบมาเรียบเรียงใหม่เป็นหนังสือชื่อ “กรุงเทพฯ ยามราตรี” ระบุว่า การไปเที่ยวสโมสรสำหรับผู้ชายบางราย อาจจะไม่ได้สื่อความหมายถึง “สโมสร” เพียงอย่างเดียว แต่อาจจะหมายถึงการเที่ยวโรงโสเภนีด้วย เนื่องจากในยุคนั้น คำว่า คลับ และ บาร์ มักถูกใช้เรียกโรงโสเภณีชั้นดีเช่นกัน โดยคลับที่เป็นโรงโสเภณีจะมีลักษณะคล้ายกับสถานกินดื่มสาธารณะ และสถานเริงรมย์ที่มีหญิงสาวไว้คอยบริการลูกค้า และหากเป็นที่ต้องตาต้องใจก็ร่วมหลับนอนด้วยได้
ส่วนคลับที่มีชื่อเสียงในหมู่คนไทยและจีน คือ คลับจางวางหม็อง ที่ถนนวรจักร คลับเบอร์ 10 ที่ถนนเจริญกรุง และคลับยี่สุ่นเหลือง ที่ตรอกยายแพ่ง ซึ่ง กิจการโสเภณีในยุคนี้ (2420-2450) ถูกเรียกว่า “โสเภณีรูปแบบเก่า” ที่มีลักษณะเป็นนางประจำสำนัก
โรงแม่แฟง ที่มีการกล่าวถึงในละครเรื่องนี้ อาจะเป็นการอ้างอิงถึง “ยายแฟง” หนึ่งในแม่เล้าเมืองชื่อดังเมืองบางกอก กรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3 ที่โด่งดัง จนมีคำพูดติดปากเป็นวลีที่ว่า “ยายฟักขายแกง ยาแฟงขาย… ยามีขายเหล้า” ซึ่งเมื่อกิจการรุ่งเรืองจนร่ำรวย ยายแฟงได้นำเงินไปสร้าง วัดคณิกาผล หมายถึง ผลที่ได้จากนางคณิกา (หญิงโสเภณี)
ทั้งนี้ กิจการการค้าประเวณีในกรุงเทพฯ ขยายเพิ่มเติมจากย่านสำเพ็ง (ซึ่งเริ่มมาก่อนทศวรรษที่ 2420) ในลักษณะตั้งเก๋งริมฝั่งน้ำมาตั้งตามตรอกซอกซอยของถนนต่าง ๆ เพื่อหลบสายตาผู้คน มีตรอกลือชื่ออย่าง ตรอกแตง ตรอกเต๊า ตรอกโรงเขียน และตั้งอยู่ตามพื้นที่บันเทิงยามค่ำคืนของเมืองอย่างโรงบ่อนและโรงหวย
ในช่วง 2460-2480 ทั้งสำเพ็งและเยาวราชถือเป็นเขตเศรษฐกิจและย่านกลางคืนของเมืองสมัยใหม่ มีสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืนผุดขึ้นมากมาย รวมไปถึงสำนักโสเภณีซึ่งเปิดตลอดคืน ซึ่ง กิจการโสเภณีในท้องที่สำเพ็งเติบโตพร้อมกับการพัฒนาของเมืองกรุงเทพฯ ที่มีลักษณะเป็น “สังคมบก” สำนักโสเภณีต้องเสียภาษีบำรุงถนนเพื่อซ่อมแซมและพัฒนาให้รองรับลักษณะเมืองสมัยใหม่
ส่วน การแขวนโคมเขียว ของสำนักโสเภณีเกิดขึ้นเมื่อมีประกาศพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ร.ศ.127 เมื่อ พ.ศ.2452 สำนักโสเภณีทุกแห่งต้องแขวนโคมเขียวเพื่อแสดงว่าจดทะเบียนและเสียภาษีเรียบร้อยแล้ว ส่วนโสเภณีที่ไม่ได้เสียภาษีก็ต้องแอบยืนขายบริการตามพื้นที่บันเทิงในเมืองเช่น โรงบ่อน โรงหวย ซึ่งสำนักเหล่านี้ โสเภณีชั้นดีกับโสเภณีอีกระดับชั้นที่ด้อยกว่า จะมีหน้าที่แตกต่างกัน
ซึ่งยายแฟงก็คือหนึ่งในนั้น จึงได้ร่วมกับหญิงงามเมืองในสำนักสร้างวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2376 โดยเรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดใหม่ยายแฟง" ก่อนที่ต่อมาในช่วงรัชกาลที่ 4 ลูกหลานของยายแฟงได้บูรณะวัดขึ้นใหม่ และได้ขอพระราชทานชื่อวัด และได้มาในชื่อของ "วัดคณิกาผล" แปลความหมายได้ว่า ผลอันเกิดแต่นางคณิกา (คณิกา แปลว่า หญิงงามเมือง หรือนางบำเรอ)
ปัจจุบัน วัดคณิกาผล ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ สน.พลับพลาไชย แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร อยู่ใกล้กับมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง และศาลเจ้าไต่ฮงกง ภายในวัดนั้นก็จะมีพระพุทธรูปของหลวงพ่อทองคำ, วิหารหลวงพ่อองค์ดำ, พระพุทธรูปในปางต่างๆ หลากหลายองค์ และในวิหารยังมีรูปหล่อของย่าแฟง ระบุในป้ายว่า "รูปหล่อของย่าแฟง เปาโรหิตย์ ผู้สร้างวัดคณิกาผล ๒๓๗๖" ที่มีผู้สร้างถวายไว้
ขณะเดียวกัน ด้านหลังอุโบสถและวิหาร จะมีอาคารเล็กๆ เขียนว่า "อาคารย่าแฟง" ภายในจะมีรูปหล่อครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่ โดยที่ฐานของรูปหล่อของยายแฟงมีข้อความ "วัดคณิกาผลนี้ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ โดยคุณแม่แฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโรหิตย์" ระบุไว้ และรอบๆ รูปหล่อของยายแฟง ก็จะมีของไหว้ เช่น น้ำอบ น้ำแดง หมากพลู และพวงมาลัยวางอยู่เรียงราย