เปิดใจเจ้าสาว คบ 2 ปี แต่ง 5 วันเลิก!  ซองงานแต่งคือจุดแตกหัก?

เปิดใจเจ้าสาว คบ 2 ปี แต่ง 5 วันเลิก! ซองงานแต่งคือจุดแตกหัก?

วันที่ 23 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่โลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจเรื่องเจ้าบ่าวหนุ่มราชบุรี ได้ออกมาโพต์ภาพงานแต่งและข้อความว่า มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่มาบอกว่ารักกัน แต่งงานกันไม่ถึง 4-5 วัน จะขอเลิก บอกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ถ้าเลิก เราก็อยากจะได้สินสอดเราคืน สินสอด 2 แสน ทอง 2 บาท มันไม่น้อยเลย บอกจะคืนให้เรา 5 หมื่นบาท แต่เราขอทอง 2 บาทของเราคืนด้วย เค้าก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของเขาแล้ว ก็ให้เราไปฟ้องศาลเอาเองถ้าอยากจะได้ บอกว่าทางเค้าเสียหาย แล้วแบบนี้จะเรียกว่ารักหรือ แค่เรื่องทะเลาะกันก็มาขอเลิก ค่าใช้จ่ายในงานเราก็ช่วยทุกอย่างเพราะเรารัก เงินทุกบาท เราทำงานตั้งใจเก็บเงินเพื่อจะมาแต่ง กว่าจะหามาได้ เอาไปแบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ย ถ้าเรื่องกฎหมายเราอาจจะไม่รู้เยอะ แต่ทำกันแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร

ฝ่ายเจ้าสาวเปิดใจ

ทีมข่าวได้ไปเจอเจ้าสาว คือ คุณบีม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ที่บ้าน พร้อมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ที่บ้านพักในตำบลดอนตะโก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ทางคุณบีมซึ่งเป็นเจ้าสาว บอกว่า ขอสังคมให้ฟังทางฝั่งหนูบ้าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เลิกกับทางเจ้าบ่าว แต่เพียงไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันได้เนื่องจากสิ่งที่เขาทำให้หนูและครอบครัวเกิดความอับอายจากงานแต่งที่ผ่านมา อีกทั้งเขายังเอารูปและโพสต์ข้อความในส่วนแต่ฝ่ายเจ้าบ่าว ทำให้รถทัวร์มาลงที่หน้าบ้าน คนที่เขาไม่เข้าใจก็มาด่าว่าหนูในทางเสียหาย

ในส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าหนูเชิดสินสอดหนีมานั้น หนูก็ตอบยืนยันว่า ยังไม่ได้เลิกกัน ประเด็นที่ทะเลาะกันหลายเรื่อง เอาง่ายๆ ฝ่ายชายเขาถามหนูว่า "เงิน 3,500 ค่ารูปที่ต้องเคลียร์ให้แม่ แม่บีมจะเอายังใง บีมก็ถามไปว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแม่บีม ในเมื่อเงินซองเงินรับไหว้ทุกอย่างอยู่ที่เจ้าบ่าวหมดเลย ทำไมถึงไม่แบ่งให้แม่ไป หรือ ทางเจ้าบ่าวจะทวงว่า เงินในซองที่ให้บีมติดตัวมาแค่ 4,000 บาท จะต้องคืนให้แม่พี่หรือยังใง ทำไม่เงินกองที่เหลืออยู่ทำไมเจ้าบ่าวไม่แบ่งให้แม่พี่ไป”

เขาก็เลยบอกมาว่า แค่ถามดูเฉยๆ แล้วมาถามเฉยๆ ทำไมต้องมาบอกว่าแล้วแม่บีมจะเอายังไง ทั้งที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับทางแม่หนูแล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนี้ทางเจ้าบ่าวจะให้ชีวิตอยู่กันได้ไหม แค่เรื่องเงินแค่นี้ยังมีปัญหาเลย จริงๆ เงินส่วนนั้นจะแบ่งไปก็แบ่งไปได้ ทีเรื่องอื่นไม่เห็นบอกอะไรเลย หนูก็เลยบอกกับทางเจ้าบ่าวไปว่า เอาอย่างนี้เงินหนูคืนให้เลย 4,000 บาทที่ให้มา เอาไปให้แม่เขาเลย หนูขอใช้ชีวิตอยู่กับที่บ้านซักพักหนึ่งขอทำงานที่ร้านกาแฟถึงสิ้นเดือน ก็เลยขออยู่ซักพักเลยได้ไหม เพราะตัวเองก็มีหนี้จึงไม่อยากเอาหนี้ไปผูกกับทางเจ้าบ่าว คือแต่งงานกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ไหมคนเราอ่ะ ถ้าคนเรารักกันจริงอยู่ที่ไหนมันก็รัก

แต่นี่เขาทำนองแบบว่า “มึงแต่งงานกับกูแล้วมึงต้องอยู่กับกู มึงต้องไปทำไร่กับกู" หนูก็ถามว่า ถ้าเจ้าบ่าวมาอยู่กับหนูที่บ้านไม่ได้เหรอ ทำงานที่นี่ไม่ได้เหรอ เขาก็บอกเงินเดือนมันพอไหม หนูก็บอกไปว่างานมันมีหลายหน้าที่ ถ้าทางเจ้าบ่าวคิดจะทำมันก็พอ แล้วถามไปว่าถ้าหนูไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าวมันจะไหวไหม หนี้สินตัวเองก็มี เขาก็บอกว่ายังไงก็พออยู่แล้ว เก็บผักก็ได้เยอะอยู่แล้ว หนูก็เลยบอกเจ้าบ่าวไปว่า แค่เงินแค่นี้ยังมีปัญหาเลย แล้วถ้าใช้ชีวิตต่อไปนานๆ มันจะไม่มีปัญหาจริงเหรอ เขาก็เงียบ หนูก็เลยบอกไปว่าถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ หนูขอเจ้าบ่าวว่า ขออยู่บ้านตัวเองซักพักดีกว่า เผลอๆ อยากจะอยู่บ้านทำงานที่นี่เพื่อปิดหนี้ก้อนนี้ให้หมดไปเลยดีกว่า ปิดรถตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะไปอยู่กับเขา มันจะดีกว่ามันจะสบายใจ อย่างน้อยเราก็ทำด้วยตัวของเราเอง เขาก็ไม่เข้าใจ

ในประเด็นเรื่องการแต่งงานเราตกลงยินยอมกันทั้งสองฝ่ายใช่ไหม แต่เขาไปลงอีกข่าวว่าทางเจ้าสาวบังคับตั้งแต่ปี 64 แล้วปี 64 เพิ่งได้คบกัน ทำไมเขาถึงไปลงข่าวอะไรแบบนั้น ว่าทางแม่เจ้าสาวไปเร่งทางฝ่ายเขา จริงๆ หนูจะไปทำงานที่กรุงเทพ ก็บอกกับทางเจ้าบ่าวไป และก็ว่าหนูไม่คิดที่จะมีคนอื่นอยู่แล้ว คนเราไปทำงานไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก แต่ทางเจ้าบ่าวก็ตามไป หนูก็บอกไปว่าจะตามไปได้ยังเราไม่เคยมีถึงขั้นอยู่ด้วยกันมาก่อน หนูไม่เคยทำตัวอะไรอย่างนั้นเลย แต่ทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็บอกว่า “ถ้าเอ็งมีคนอื่นล่ะจะทำยังไง” หนูก็บอกเจ้าบ่าวไปว่าหนูไปอยู่กับพี่สาวแท้ๆ คืออยู่หอเดียวกัน

สุดท้ายเขาก็เป็นคนพูดเองว่า “ให้เขาหมั้นก่อนไหม” แต่แม่หนูบอกว่า “ไม่ให้หมั้น” คือ แต่งก็คือแต่งไม่ให้หมั้น เพราะถ้าหมั้นไปไม่ได้แต่งจะทำไง หนูก็เลยบอกว่ามันไร้สาระ ทางเจ้าบ่าวก็เลยตามไปอยู่กรุงเทพได้ 3-4 เดือน จนเจ้าบ่าวกลับมาอยู่ที่บ้าน ส่วนหนูก็อยู่ทำงานได้ 1-2 ปี ก็กลับมาอยู่บ้าน มาขายของ คบกับทางเจ้าบ่าวมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งแม่ของเจ้าบ่าวพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวจะไปขอ” ทั้งๆ ที่หนูไม่ได้เร่งนะ ก็บอกไปว่าถ้าจะแต่งกันหนูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะถือว่าเราคบกันมานานแล้ว ไปขอซักพักหนูก็ขอเลื่อนมาอีกถึงปี 67 พอจะแต่งปุ๊บ แม่ของเจ้าบ่าวบอกว่าเดี๋ยวแม่เข้ามาคุยกับทางแม่เจ้าสาวเรื่องการสู่ขอนะ ในระยะเวลาแค่ 3 เดือนในการเตรียมงาน หนูก็คุยกับแม่ว่า “ทำยังไงดีเขาจะเข้ามาสู่ขอแล้ว” หนูก็คิดว่าจัดงานทัน ไปถ่ายพรีเวดดิ้ง ทำอะไรก็ได้ให้เร็วที่สุด เพราะแต่งงานต้องใช้เวลากันเป็นปีในการเตรียมงาน ต้องเตรียมหลายอย่าง และดูฤกษ์แต่งอีก จนกระทั่งเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย

พอถึงวันงาน หนูก็ยอมรับว่าไม่ได้เตรียมครบทุกอย่าง เช่นนายพิธี ก็ยอมรับว่าไม่มี ทีนี้ก็ตกลงกับทางเจ้าบ่าวว่า ค่าโต๊ะเราจะจ่ายกันคนละครึ่งเราจะเอาเงินค่าซองช่วย ทางเจ้าบ่าวก็บอกว่าโอเคได้ ขาดเหลืออะไรเดี๋ยวให้ทางหนูช่วยไป ทีนี้พอถึงเวลาใกล้จบงาน แม่เจ้าบ่าวพูดขึ้นมาว่า “แม่เจ้าสาวเอาเงินสินสอดควักจ่ายไปก่อนนะ เงินซองทางนี้ยังแกะไม่ได้รอให้ครบ 3 วัน” พอพูดคำนี้จบทุกคนยังไม่ได้พูดอะไรแม่เจ้าบ่าวหอบซองใส่กระเป๋ากลับบ้านไปเลย หอบกลับไปกันหมดเลย แล้วญาติเขาที่นั่งกันอยู่ในเมื่อเขาขอตนเองว่า ขอแค่ 20 โต๊ะ แต่ความเป็นจริงแล้วเหลือให้ญาติฝั่งเจ้าสาวไม่ถึง 5 โต๊ะ จาก 30 โต๊ะที่หามา วินาทีนั้นยอมรับว่าอายเลย

เมื่อไหร่จะออก ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อีก 1 ชั่วโมงก็ออกมั้ง คือประชด” ทางฝ่ายเจ้าก็บอกว่าไม่ได้ต้องรอ 11 โมงเพื่อรอญาติทางฝ่ายเจ้าสาวด้วย แต่ปรากฎว่าประมาณ 10.30 น. ไม่รู้อีท่าไหนโต๊ะจีนออกหมดเลย ทางญาติเจ้าสาวมา 11 โมง โต๊ะจีนไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทีนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรคือเสียหน้ามาก คือคนที่กำลังเดินเข้ามานั่งกินโต๊ะจีน จัดงานอะไร

แล้วทางเจ้าบ่าวพูดกับหนูว่า “มึงรู้ไหมกูอับอายแค่ไหนที่ทางญาติมึงทำกับกูแบบนี้” หนูก็ร้อง “ฮะ” คนที่ต้องพูดมันคือหนู ที่อับอายมากกว่า เพราะทางฝ่ายเจ้าบ่าวพาคนมาล้มโต๊ะจีนฝั่งหนู แล้วที่น่าเกลียดมากตรงที่แม่เขาบอกว่ายกซองให้ลูกชายและฝ่ายเจ้าสาว แต่เขากลับหอบซองกลับไปหมดเลย มีรับหน้าแค่พ่อเจ้าบ่าว กับ ตัวเจ้าบ่าว อยู่ 2 คน หนูก็ถามกับทางเจ้าบ่าวว่า ทำไมแม่พี่ถึงทำกันแบบนี้ ไหนตกลงซองต้องเป็นของฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว มันไม่มีใครหรอกที่จะมาแกะสินสอดแล้วมาจ่ายคนอื่นเขา มันถือเคล็ดยังไง ในเมื่อทางเจ้าบ่าวถือเคล็ดแบบนั้น ทางฝ่ายเจ้าสาวถือเคล็ดไม่ได้หรือยังไง แล้วแบบนี้ใครจะจ่าย หนูก็บอกกลับไปแล้วใครจะจ่าย เพราะหนูก็บอกแล้วว่าจะเอาเงินจากซองช่วยจ่าย ทางแม่พี่เก็บไปทำไม รวมๆ แล้วเงินค่าจัดงานแต่งประมาณ 1 แสนได้ ในการตกลงค่าใช้จ่าย โต๊ะจีนตกลงกันที่เอาเงินจากซองเงินช่วยจ่าย นอกนั้น ออกกันคนละครึ่ง หนูก็บอกไปว่าถ้าค่าโต๊ะจีนเงินจากซองไม่พอให้ทางแม่เจ้าสาวช่วยก็ได้ ส่วนค่าสินสอดทางเจ้าสาวได้ 2 แสน ทอง 2 บาท

ส่วนวันจุดแตกหักที่ตัดสินใจเลิกเลยคือวันที่หนูกลับมาอยู่บ้านวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา คือหนูไม่ได้กลับมาอยู่เลย บอกกับทางเจ้าบ่าวว่ากลับมาอยู่ถึงสิ้นเดือนนี้เพื่อทำงานที่ร้านกาแฟให้ครบ ประเด็นคือเขาต้องการให้เราไปอยู่กับเขาด้วยให้ไปทำไร่ ซึ่งหนูก็บอกว่าทำได้ไม่มีปัญหาและตกลงกับทางเจ้าบ่าวเป็นอย่างดีว่าให้มาส่งที่บ้านและสิ้นเดือนให้มารับ ซึ่งไม่มีปัญหากันเลย แต่มีประเด็นอีกเรื่องคือ ว่าทางเจ้าบ่าวเอาเรื่องไปโพสต์และมาบอกหนูว่า “คนนี้ดีกว่า คนนั้นดีกว่า” เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูด “มึงรู้ไหมแฟนเก่าก็มางานนะ” คือ มันเจ็บตรงนี้ หนูก็ถามไปว่าเอามาพูดทำไมในเมื่อคิดจะแต่งงานกันแล้ว เขาก็บอกกับเราอีกว่า “แล้วมึงไม่รู้หรือว่ามันมา” หนูก็ตอบไปว่า “แล้วใครจะไปรู้หละ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนั้น” ทีนี้ก็ทะเลาะกันมาเลย และก็มีเรื่องเงินด้วยรวมๆ แล้วปัญหาหลายอย่าง หนูก็เลยบอกกับเจ้าบ่าวไปว่า จบกันไหมถ้าในเมื่อมันไปต่อกันไม่ได้แล้ว หนูก็ยังบอกกับเจ้าบ่าวเลยว่าถ้าสิ้นเดือนไม่กลับไป หนูยินดีคืนสินสอดให้เลย หนูไม่เอา

ทีนี้เรื่องเลยกลับกันเลย เจ้าบ่าวคิดไปว่าในเมื่อจบกันแล้ว สินสอดของทางเจ้าบ่าวล่ะอยู่ครบไหมจะคืนยังใง หนูก็ตอบเจ้าบ่าวไปว่า ไม่ได้จบแบบนั้นนะ หนูกับเจ้าบ่าวยังไม่ได้เลิกกันนะ คือมันไม่ได้จบแบบนั้น คือจบกันที่หนูกับพี่ยังไม่ได้เลิกกันนะ พี่ต้องเข้าใจคำว่าการประชดอะไร พี่คบกับหนูมาก็น่าจะรู้ใช่ไหม เจ้าบ่าวก็ยังตอบมาว่า แล้วยังใง “ถ้าอยากคืนก็คืนได้ครับไม่มีปัญหา กูไม่ติดอยู่แล้ว”

หนูก็มาทบทวนดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ได้แคร์หนูเลย บางทีการประชดของหนู อยากรู้ว่าเขาจะพูดอย่างไรในเมื่อหนูนำร่องไปขนาดนี้ เขาบอก “ไม่ติดครับ” จะคืนก็คืนในเมื่อไม่ได้รักกันแล้ว . ส่วนที่ไป สภ.ไปในเรื่องให้ตำรวจรู้ว่าเราจะคืนสินสอด ตกลงจะคืนกันยังใง สรุปหนูตอบไปหน้าตำรวจเลยว่าไม่คืน มันคืนไม่ได้ ในเมื่อเขาให้ตนแล้วเป็นสินสมรสแต่งกัน จริงๆ ต้องเป็นฝ่ายของหนูที่ได้จริงไหม หนูบอกว่าไม่คืน เขาก็บอกว่าทำไมไม่คืน จริงๆ หนูเสียหายนะแค่ไปอยู่ด้วยกันคืนเดียวก็เสียหายแล้ว หนูก็ไม่ได้ที่จะอยากได้หรอกนะเงิน เขาบอกว่าในเมื่อหนูจะคืนทำไมถึงไม่คืน หนูก็โมโหเลยบอกไปว่าให้ได้แค่ 5 หมื่นพูดแค่นี้ แต่มึงกับกูต้องจบกันนะ ห้ามมาระราน ห้ามมาแบบยุ่งอีกเลยนะ ตอนแรกเขาบอกไม่เอา หนูก็บอกไม่เป็นไรส่งเลขบัญชีมาเลยเดี๋ยวโอนให้เลย 5 หมื่น แต่ต้องจบนะ เขาก็บอกว่า “มึงเก็บไว้ดูแลพ่อแม่มึงเถอะ” ไปๆ มาๆ กลับมาอีกมาบอกเลขบัญชีในแอปก็มีไม่โอนมาล่ะ เขาพูดกลับไปกลับมา ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้

สุดท้ายเข้าก็เอาเราไปโพสต์ หนูก็เอาเลยในเมื่อเจ้าบ่าวเล่นกันแบบนี้เอง คุยดีๆ ก็ได้ ตอนนี้ถ้าถามจะกลับมาคบกันมันเป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะเขาเล่นแรงกับหนูแบบนี้ก่อน บอกตรงๆ เลยตอนนี้ตนไม่มีความรู้สึกดีๆ หลงเหลืออยู่เลย ไม่รักแล้ว เขาทำให้หนูเกลียดครอบครัวเขาไปเลยหนูพูดตรงๆ เอาง่ายๆ นะ ความคิดเขาตรงๆ เจ้าบ่าวไม่ใช่คนแบบนี้ ที่หนูคบมา เขาเหมือนต้องให้คนคอยจูงจมูกเขาตลอด จริงๆ เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกอะไรขนาดนี้ จากนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป เนื่องจากทางฝ่ายผู้ชายมีการโพสต์รูปโดยที่ไม่ปกปิดใบหน้า ทั้งหนูและคุณพ่อคุณแม่สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความเสียหายให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้ง สังคมก็ได้ประณาม รถทัวร์มาลงหน้าบ้าน ทำให้อับอายเป็นอย่างมาก ตรงนี้หนูต้องขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ยืนยันว่า จะไม่กลับไปใช้ชีวิตคู่กับเจ้าบ่าวอีกแล้ว และหนูไม่ได้เป็นมิจฉาชีพที่ถูกกล่าวอ้าง ไม่ได้จัดงานแต่งและเชิดสินสอดตามที่เป็นข่าว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ