ชีวิตที่สุดพลิกผัน อดีตนางเอกชื่อดัง แหม่ม อลิษา

ชีวิตที่สุดพลิกผัน อดีตนางเอกชื่อดัง แหม่ม อลิษา

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนางเอกดังที่มีหลายคนชื่นชอบมากทีเดียว สำหรับสาว แหม่ม อลิษา ที่ล่าสุดเดินทางมาอัพเดทเรื่องราวในชีวิตของตนเองหลังโดนบูลลี่เรื่องอ้วนมาตลอดชีวิต ต้องกินของลดความอ้วนติดต่อกันนานนับ 10 ปี

อีกทั้งเธอยังเคยล้มละลายเป็นหนี้ 20 ล้านบาท พร้อมควงแฟนสาวหล่อรุ่นน้อง อายุห่างกัน 13 ปี มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกผ่านรายการคุยแซ่บ show ด้วย

แหม่ม เผยว่า เรื่องโดนบูลลี่ตัว พี่จะเป็นคนที่อ้วนมากกว่าผอม ที่เห็นว่าผอมคือเราบังคับตัวเราทานยาตลอดเรากินของลดความอ้วน

คือมันแทบจะไม่มีช่วงพัก พี่จะเป็นคนที่อ้วนง่ายมาก ด้วยโครงสร้างของพ่อแม่เราเป็นคนตัวใหญ่อยู่แล้ว แล้วเราจะบีบโดยการใช้ย า

พี่ไม่ได้มีหมอเดียวในการหาหมอลดความอ้วน พี่มี 3 หมอ เราก็ตระเวนเอายาทุกหมอ แล้วเราก็จะกินต่อเนื่อง แล้วมี 1 ปี ที่ 365 วันไม่มีวันหยุดเลย

ประเด็นหงุดหงิดนั้นถ้ามีอาการจะเปลี่ยนยา จะไม่ฝืนกิน เราทานยาทั้งปีกลัวหยุดแล้วอ้วน คือถ้ากินของหมอคนนี้วันแรกแล้วมีอาการ กลับไปเลยว่าเราสั่น

ใจเราสั่นมาก มือเราสั่น หมอจะปรับยาลง ตอนกินมันไม่หิว กินน้ำ ถามว่าโยโย่ไหมก็นี่ไง นี่คือผลพวงทั้งหมดที่ 10 กว่าปีที่เราทานยาหนักบ้าง เบาบ้าง พอเริ่ม 40-45 ทุกอย่างมันจะมาหมด แล้วจะเอาลงกลับไปยาก ต้องทำความเข้าใจกับสภาพที่มันเกิดขึ้นก่อน

สุขภาพช่วงนึงค่อนข้างแย่ เพราะมันมาทั้งรูมาตอยด์ แล้วมาเจอความดัน มาเจอไขมัน คือโรคเสี่ยงพอถึงเวลามันมาเป็นแพ็กเกจให้เราเลย ก็ต้องเริ่มกลับมาดูแลตัวเองก่อน แต่อาจจะไม่ได้ผอมลง แต่เอาตัวเองให้แข็งแรงก่อน แล้วก็ตัดย าลดความอ้วนทุกอย่าง

ณ เวลานี้หลายปีแล้วที่ไม่แตะเลย กินเพราะกดดันคือนางเอกต้องสวย ต้องกายดี คือสวยเราได้ แต่ตัวเราไม่ได้ ด้วยบอดี้เราถ้าเราดูแลบีบไว้มันก็โอเค แต่เป็นคนที่ปล่อยปละละเลยตัวเองในส่วนนี้ มีความมั่นใจในตัวเองสูงไป ก็ทำไมละ สวยอยู่ อ้วนก็ไม่เป็นไร จ้างสิ คิดแบบของเด็ก

ณ ตอนนั้น ซึ่งมันหม่ใช่ มันใช้กับวงการมายาตรงนี้ไม่ได้ เราโดนทักก็ไปร้องไห้ในรถคือเขาแซว เวลาอยู่ในกอง เราจะกิน อุ้ย…กินอีกแล้วเหรอ เดี๋ยวก็อ้วน รู้ไหมเนี่ยวันนี้ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร ก็กินพร้อมกัน ก็เข้าไปนั่งร้องไห้อยู่ในรถ

แต่เป็นคนที่เวลาอยู่หน้างานจะหักความทุกข์เราเร็วมาก ให้มันจบไปก่อน ให้มันผ่านไป เราก็จะพยายามไม่นั่น ไม่นี่กับเขา แล้วถ้าคุยได้ก็จะบอกว่า อย่าอะไรกับเราเลย เรามาทำงาน ไม่ใช่เราไม่เครียด

ความเครียดเรามีอยู่แล้ว เวลาเราไปกองเจอตัวน้อยๆ คือตอนนั้นจะตอบโต้ค่อนข้างแรง แต่พอมา ณ ปัจจุบัน เราก็จะหักอีกอย่างเพื่อไม่ให้คนเกลียดเรา

หลังจากนั้นเราเหมือนเป็นซึ มเศร้า เราจะปิดตัวเองไปเลย ถ้าเห็นว่ามันไม่ไหวก็ไม่รับ ไม่อยากไปปะทะ ไม่อยากให้ใครทัก เวลาเราไปกองเราทำงานเต็มที่ เพราะว่าบทด้วยอะไรด้วย ความเครียดมันสะสม แล้วเก็บไม่ออกไปไหน มันก็กลายเป็นว่ามีกรอบให้ตัวเองหนาเลย

ยอมไปหาหมอคือยอมหาได้ประมาณ 2 ปี แต่มันสะสมมาเป็น 10 ปีแล้ว มันเป็นปมด้อยของเราในเรื่องความอ้วน คือที่เพิ่งยอมไปหาหมอเมื่อ 2 ปี เพราะว่าคือคนสมัยก่อนถ้าเราจะเข้าศรีธัญญาหรือไปหาจิตแพทย์เขาก็มองว่าเราบ้า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่นะ

พี่เพิ่งเปลี่ยนความคิดว่าวันที่ยอมเดินเข้าไปศรีธัญญาเนี่ย กลายเป็นว่าที่เราป่วยอยู่นิดเดียว คนที่เขาเยอะกว่าเราเยอะมาก เราไปนั่งในนั้นเราดีมาก

แต่กว่าที่จะถึงตัวหมอได้ 4 ขั้นตอนนะ เพราะว่าเขาจะต้องเช็ก 1, 2, 3, 4 จนโอเคคุณถึงได้เข้าห้องหมอ

พอหมอให้ย ามาปรับ มันกลายเป็นว่าความคิดเราเสถียรขึ้น เราไม่ดิ่งลบ ไม่บวกจนสุดโต่ง

เรียบเรียงโดย ทีมงาน zap dara

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ