ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ เมื่อหลายปีก่อน

แม้ในชั้นพิจารณา ฝ่ายโจทก์ไม่มีคลิปวิดีโอฉบับเต็มของการให้สัมภาษณ์มาเป็นหลักฐานประกอบ แต่ศาลได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ แล้วเห็นว่า

1. ถ้อยคำไม่เข้าข่าย หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย

จำเลยยอมรับว่า บุคคลในคลิปเป็นตนเอง และไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นการตัดต่อ เสริมแต่ง หรือบิดเบือนเนื้อหา ศาลจึงเชื่อว่าจำเลยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีจริง

อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำที่ใช้ในการสัมภาษณ์ไม่ปรากฏถึงการกล่าวถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยตรง ไม่ใช้ราชาศัพท์ และไม่มีถ้อยคำลักษณะหยาบคาย โดยใช้คำว่า เขา แทนการอ้างอิงบุคคล และพูดถึงเพียง องคมนตรี ทหาร และ Palace Circle ซึ่งไม่สามารถสรุปเจตนาได้ว่าเป็นการดูหมิ่นหรือกล่าวร้ายพระมหากษัตริย์

อีกทั้ง พยานโจทก์มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองกับจำเลยในอดีต เคยเข้าร่วมการชุมนุมขับไล่ ทำให้ศาลเห็นว่า พยานโจทก์มีอคติ และไม่อาจถือเป็น วิญญูชนทั่วไป ตามนิยามของกฎหมาย

ศาลจึงวินิจฉัยว่า แม้ถ้อยคำจะมีลักษณะโจมตีการยึดอำนาจและบุคคลในวงการเมือง แต่ไม่เข้าข่ายการหมิ่น ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่มาตรา 112 กำหนดไว้

2. ไม่มีพยานหลักฐานเรื่อง อาฆาตมาดร้าย

ข้อกล่าวหาในส่วนของ การแสดงความอาฆาตมาดร้าย ไม่มีพยานหรือหลักฐานใดที่นำมาสืบสนับสนุนเจตนาในลักษณะดังกล่าว ศาลจึงตัดข้อหานี้ออกจากการพิจารณา

3. ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จ ยุติทันที

เมื่อเนื้อหาการสัมภาษณ์ไม่เข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 112 ข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ว่าด้วยการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จึงตกไปโดยปริยาย เพราะเนื้อหาไม่ถือเป็น ข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามกฎหมาย

ศาลวินิจฉัยโดยรวมว่า การให้สัมภาษณ์ของจำเลยมีเนื้อหาทางการเมือง ไม่ปรากฏเจตนาในการล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูง และขาดพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดตาม มาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จึงพิพากษายกฟ้องในทุกข้อกล่าวหา